Posted on

เงินกองทุนหมู่บ้านสามารถถูกยึดได้ไหม?

เงินกองทุนหมู่บ้าน ใครเป็นเจ้าของ? เจ้าหนี้จะมายึดได้หรือ

เงินกองทุนหมู่บ้าน ใครเป็นเจ้าของ? เจ้าหนี้จะมายึดได้หรือไม่ ?

หลายครั้งที่เราได้ยินข่าวว่าเจ้าหนี้พยายามที่จะยึดทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อชำระหนี้ แต่ทรัพย์สินบางอย่างก็ไม่สามารถถูกยึดได้ตามกฎหมาย หนึ่งในนั้นคือ "เงินกองทุนหมู่บ้าน"

คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๒๗/๒๕๖๗ ได้ตัดสินเกี่ยวกับประเด็นนี้อย่างชัดเจน โดยศาลฎีกาเห็นว่าเงินในบัญชีของกองทุนหมู่บ้าน ไม่ใช่เงินของจำเลยที่เป็นหนี้ แต่เป็นเงินของกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายเฉพาะ

กองทุนหมู่บ้านมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนคือการเป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนสำหรับพัฒนาอาชีพ สร้างรายได้ และช่วยเหลือประชาชนในหมู่บ้าน ดังนั้น เงินทุนเหล่านี้จึงต้องถูกใช้ไปในทางที่ถูกต้องตามกฎหมายกำหนด

    คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๒๒๗/๒๕๖๗ วันที่ ๒๓ เดือน มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗

    ความแพ่ง

    ระหว่าง

    นายอ้วน สุรินทร์ ที่ ๑ นายสุริยนต์ จันต๊ะ ที่ ๒ โจทก์

    ธนาคารออมสิน ผู้คัดค้าน

    กองทุนหมู่บ้างหนองฮ่าง หมู่ที่ ๑๐ ตำบลแม่คะ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ จำเลย

    เรื่อง ตัวแทน (ชั้นบังคับคดี)

    จำเลย ฎีกาคัดค้าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๕ ลงวันที่ ๑๗ เดือน สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕

    ศาลฎีกา รับวันที่ ๑๐ เดือน สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖

    คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสองคนละ ๒๓๔,๗๘๘.๕๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษายืน จำเลยยื่นคำร้องร้องขออนุญาตฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกา จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ทั้งสองขอให้บังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ทั้งสอง

    โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องว่า โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้มีคำสั่งอายัดเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลยที่เปิดไว้กับ ผู้คัดค้าน บัญชีเลขที่ ที่ ๐๕๐๖๗๐๗๔๔๕๗๗ จำนวน ๙๙,๐๐๐ บาท และบัญชีเลขที่ ๐๕๐๖๗๐๗๔๖๓๔๑ จำนวน ๑๙๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๒๘๙,๐๐๐ บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือแจ้งอายัดสิทธิเรียกร้องของจำเลยไปยังผู้คัดค้านแล้ว แต่ผู้คัดค้านมีหนังสือแจ้งเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า เงินฝากของจำเลยในบัญชีดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินต้องห้ามมิให้ยึดหรืออายัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๗ และเป็นทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐๑ (๕) และผู้คัดค้านไม่ส่งเงินฝากของจำเลยในบัญชีดังกล่าวให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี โจทก์ทั้งสองเห็นว่าตามพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ มาตรา ๑๔ ระบุว่าจำเลยไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ดังนั้น เงินฝากของจำเลยจึงไม่ใช่ทรัพย์สินของแผ่นดินที่ต้องห้ามมิให้ยึดหรืออายัด แต่เป็นทรัพย์สินที่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ขอให้ผู้คัดค้านสูงเงินฝากของจำเลยตามที่โจทก์ทั้งสองขออายัดรวมเป็นเงิน ๒๘๙,๐๐๐ บาท แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี หากไม่ส่งขอให้ผู้คัดค้านชำระค่าสินไหมทดแทนเท่าจำนวนเงินดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสองตามประมวงกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๒๑

    จำเลยยื่นคำร้องและคำคัดค้านในทำนองเดียวกันว่า เงินที่โจทก์ทั้งสองขออายัดทั้งสองบัญชีไม่ใช่เงินของจำเลย แต่เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินเพราะเงินในบัญชีแรกเป็นเงินที่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้นำมาจัดสรรอุดหนุนแก่จำเลยเพื่อให้จำเลยบริหารจัดการแทนรัฐบาล ส่วนเงินในบัญชีที่สองเป็นเงินที่สมาชิกของจำเลยนำมาลงหุ้นและฝากไว้กับจำเลยซึ่งพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๔๗ มาตรา ๖ (๓) บัญญัติให้เงินดังกล่าวเป็นทุนและทรัพย์สินที่ใช้ในการดำเนินการของจำเลย จึงไม่อยู่ภายใต้การบังคับคดี ขอให้ยกคำร้องของโจทก์ทั้งสองและมีคำสั่งเพิกถอนการอายัดเงินฝากทั้งสองบัญชีดังกล่าว

    ผู้คัดค้านอื่นคำคัดค้านว่า จำเลยเป็นหน่วยงานของรัฐ เงินในบัญชีของจำเลยเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินต้องห้ามมิให้ยึดหรืออายัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๗ และเป็นทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ขอให้ยกคำร้องของโจทก์ทั้งสอง

    โจทก์ทั้งสองยื่นคำคัดค้านคำร้องขอให้เพิกถอนการอายัดของจำเลยว่า จำเลยไม่ได้มีฐานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ เงินในบัญชีเงินฝากของจำเลยทั้งสองบัญชีจึงไม่ใช่ทรัพย์สินของแผนดินที่ต้องห้ามมิให้ยึดหรืออายัด ขอให้ยกคำร้องของจำเลย

    ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งเพิกถอนการอาอัดเงินในบัญชี ธนาคารออมสิน สาขาฝาง ชื่อบัญชีกองทุนหมู่บ้านหนองฮ่าง หมู่ที่ ๑๐ ตำบลแม่คะ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ บัญชีเลขที่ ๐๕๐๖๗๐๗๔๔๕๗๗ และบัญชีเลขที่ ๐๕๐๖๗๐๗๔๖๓๔๑ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ

    โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์

    ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษากลับให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินของจำเลยที่ฝากธนาคารออมสิน สาขาฝาง บัญชีเลขที่ ๐๕๐๖๗๐๗๔๔๕๗๗ จำนวน ๙๙,๐๐๐๐ บาท และบัญชีเลขที่ ๐๕๐๖๗๐๗๔๖๓๔๑ จำนวน๑๙๐,๐๐๐ บาท ตามคำขอของโจทก์ทั้งสองหากธนาคารออมสิน ผู้คัดค้าน ไม่ส่งมอบเงินที่อายัดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดี ให้ผู้คัดค้านชำระเงินเท่าจำนวนเงินที่อายัดแก่โจทก์ทั้งสองแทน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน ๒๐๑ บาทแก่โจทก์ทั้งสอง

    จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

    ศาลฎีกาตรวจสำนวน ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า จำเลยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองตามคำพิพากษา ใจทก์ทั้งสองตรวจพบว่าจำเลยมีเงินในบัญชีเงินฝากกับผู้คัดค้าน บัญชีเลขที่ ๐๕๐๖๗๐๗๔๔๕๗๗ จำนวน ๙๙,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นเงินที่จำเลยได้รับอุดหนุนจากกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ และบัญชีเลขที่ ๐๕๐๖๗๐๗๔๖๓๔๑ จำนวน ๑๙๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นเงินที่สมาชิกของจำเลยนำมาลงหุ้นและฝากเพื่อการถอน รวมสองบัญชีเป็นเงิน ๒๘๙,๐๐๐ บาท โจทก์ทั้งสองขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินทั้งสองบัญชีดังกล่าว เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือฉบับลงวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ ถึงผู้คัดค้านขอออายัดเงินทั้งสองบัญชีให้ผู้คัดค้านส่งเงินทั้งสองบัญชีไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่ผู้คัดค้านไม่ส่งเงินทั้งสองบัญชีดังกล่าวให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีและมีหนังสือลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ถึงเจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งว่า เงินทั้งสองบัญชีเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินต้องห้ามมิให้ยืดหรืออายัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๗ และเป็นทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐๑ (๕)

    ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าเงินในบัญชีเงินฝากทั้งสองบัญชีของจำเลยที่โจทก์ทั้งสองขออายัดเป็น และเป็นเงินที่โจทก์ทั้งสองจะบังคับคดีได้หรือไม่ เห็นว่า จำเลยเป็นกองทุนหมู่บ้าน ตามมาตรา ๓ ประกอบมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยการจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านต้องจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ หรือกองทุนหมู่บ้านที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ว่าด้วยการจัดตั้งและการบริหารกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยต้องดำเนินการยื่นคำขอจัดตั้งและจดทะเบือนกองทุนหมู่บ้านต่อนายทะเบียนตามตามระเบียบที่คณะกรรมการกองทุนทนหมู่บ้านและชุมชนมืองแห่งชาติกำหนด และมีฐานะเป็นนิติบุคคล ทั้งนี้ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐ ว่าด้วยการรับจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง พ.ศ.๒๕๔๙ จำเลยจึงมิได้เป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงมิใช่นิติบุคคลเอกชน แต่เป็นนิติบุคคลมหาชนที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๕ (๑) เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการลงทุนเพื่อพัฒนาอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ เพิ่มรายได้ หรือสำหรับส่งเสริมและพัฒนาไปสู่การสร้างสวัสดิภาพและสวัสดิการ หรือประประโยชน์ส่วนรวมอื่นให้แก่ประชาชนในหมู่บ้านหรือชุมชนเมือง (๒) เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนเพื่อธรรเท่าความเดือดร้อนเร่งด่วนสำหรับประชาชนในหมู่บ้านหรือชุมชนเมือง (๓) รับฝากเงินจากสมาชิกและจัดหาทุนจากแหล่งเงินทุนอื่นเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ (๔).. (๕)... ทั้งการดำเนินการของกองทุนหมู่บ้านต้องเป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติกำหนดและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีผู้รักษาการตามมาตรา ๒๙ กองทุนหมู่บ้านมีเงินและทรัพย์สินในการดำเนินการปรากฏตามมาตรา ๖ ของพระราชบัญญัติดังกล่าว ได้แก่ (๑) เงินที่คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ จัดสรรให้ (๒) เงินอุดหนุนจากรัฐบาล (๓) เงินที่สมาชิกนำมาลงหุ้นหรือฝากไว้กับกองทุน (๔) เงินหรือทรัพย์สินอื่นที่กองทุนหมู่บ้านได้รับบริจาคโดยปราศจากเงื่อนไขหรือข้อผูกพันใด ๆ (๔) ดอกผล รายได้ หรือผลประโยชน์ที่เกิดจากเงินหรือทรัพย์สินของกองทุนหม้าน ทั้งนี้ กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ นั้น มาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน บัญญัติให้เป็น “หน่วยงานของรัฐ” และมีวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๑๑ และกองทุนหมู่บ้านที่จัดตั้งขึ้นตามมาตรา ๕ จึงเป็น “หน่วยงานของรัฐ” ที่มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐประเภทหนึ่ง ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อจัดทำภารกิจของรัฐในการสร้างศักยภาพและความเข็มแข็งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนและองค์กรชุมชนในหมู่บ้านและชุมชนเมือง กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ โดยไม่ได้มุ่งหวังผลกำไรตอบแทน โดยเงินทุนและทรัพย์สินในการดำเนินการส่วนหนึ่งเป็นเงินอุดหนุนจากงบประมาณของรัฐ ซึ่งเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน หรือแม้จะมีเงินบริจาคเข้ามาด้วย เงินบริจาคดังกล่าว มาตรา ๑๒ ของพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชวติ พ.ศ.๒๕๔๗ ก็บัญญัติว่าต้องไม่มีเงื่อนไขหรือข้อผูกพัน เนื่องจากเป็นการบริจาคเพื่อมาช่วยเหลือการจัดทำบริการสาธารณะของรัฐ หรือแม้จะมีทรัพย์สินในส่วนที่เป็นรายได้ เช่นดอกผลหรือผลประโยชน์อย่างอื่น แต่เมื่อตัวกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเป็นหน่วยงานของรัฐ ทรัพย์สินที่เป็นรายได้ของกองทุนย่อมเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน นอกจากนี้ การที่ มาตรา ๑๔ บัญญัติว่า “กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ" ก็เพียงเพื่อไม่ให้ต้องนำรายได้ส่งกระทรวงการคลังและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ทั้งนี้ก็เห็นความคลองตัวทางการเงินอันเป็นการยกเว้นหลักทั่วไปตาม มาตรา ๒๔ วรรคหนึ่ง แห่งวิธีการงบประมาณ พ.ศ.๒๕๐๒ ที่บัญญัติว่า “บรรดาเงินที่ส่วนราชการได้รับเป็นกรรมสิทธิ์ไม่ว่าจะได้รับตามกฎหมายหรือระเบียบ ข้อบังคับ หรือได้รับชำระตามอำนาจหน้าที่หรือสัญญา หรือได้รับจากการใช้ทรัพย์สินหรือเก็บดอกผลจากทรัพย์สินของทางราช ให้ส่วนราชการที่ได้รับเงินนั้น นำส่งคลังตามระเบียบหรือข้อบังคับที่รัฐมนตรีกำหนด เว้นแต่จะมีกฎหมายกำหนดเป็นอย่างอื่น" ดังนั้นเงินฝากในบัญชีเงินฝากกับผู้คัดค้าน เลขที่ ๐๕๐๖๗๐๙๔๔๕๗๗ จำนวน ๙๙,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นเงินที่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติจัดสรรให้จำเลยเสียเพื่อเป็นเงินอุดหนุนจึงเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินที่ไม่อาจยึดหรืออายัดได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๗ และไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา ๓๐๑ (๕) ส่วนเงินฝากในบัญชีเงินฝากเลขที่ ๐๕๐๖๗๐๗๔๖๓๔๑ จำนวน ๑๙๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นเงินที่สมาชิกของจำเลยนำมาลงหุ้นและฝากเพื่อการออมก็เป็นเงินฝากของสมาชิกที่นำมาฝากตามวัตถุประสงค์ของการจัดกองทุนหมู่บ้านเพื่อสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนและองค์กรชุมชน ในหมู่บ้านตามหมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๗ อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะของรัฐ โดยยจำเลยมิได้มีเจตนารมณ์ในการรับฝากเงินเพื่อหากำไรในทางธุรกิจหรือพาณิชย์กรรม เงินจำนวนดังกล่าวที่ฝากไว้กับธนาคารผู้คัดค้านในบัญชีของจำเลย จึงเป็นเงินของสมาชิก มิไม่เงินของจำเลยที่จะยึดหรืออายัดเพื่อบังคับคดีชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองได้ตามประประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐๓ และมาตรา ๓๑๖ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษาให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินฝากในบัญชีของจำเลยทั้งสองปัญชีตามคำขอของโจทก์ทั้งสอง และให้ผู้คัดค้านชำระเงินเท่าจำนวนเงินที่อายัดแก่โจทก์ทั้งสอง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น

    พิพากษากลับเป็นให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน ๒๐๐ บาท แก่โจทก์ทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

    นายสุวิทย์ พรพานิช

    นายสถาพร ดาโรจน์

    นายสุจินต์ เชี่ยวชาญศิลป์
  • พระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗: มาตรา ๕, ๖, ๑๑, ๑๒, ๑๔ (วัตถุประสงค์, ประเภทเงินทุน, สถานะกองทุน)
  • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์: มาตรา ๑๓๐๗ (ทรัพย์สินของแผ่นดิน)
  • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง: มาตรา ๓๐๑ (๕), ๓๐๓, ๓๑๖ (การบังคับคดี, ทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในความรับผิด)
  • กองทุนหมู่บ้านคือนิติบุคคล: จัดตั้งตามกฎหมายเฉพาะ ไม่ใช่นิติบุคคลตาม ป.พ.พ.

    โดยศาลได้วินินฉัยประเด็นนี้ใจความ "จำเลยเป็นกองทุนหมู่บ้าน ตามมาตรา ๓ ประกอบมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยการจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านต้องจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ หรือกองทุนหมู่บ้านที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ว่าด้วยการจัดตั้งและการบริหารกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยต้องดำเนินการยื่นคำขอจัดตั้งและจดทะเบือนกองทุนหมู่บ้านต่อนายทะเบียนตามตามระเบียบที่คณะกรรมการกองทุนทนหมู่บ้านและชุมชนมืองแห่งชาติกำหนด และมีฐานะเป็นนิติบุคคล ทั้งนี้ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐ ว่าด้วยการรับจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง พ.ศ.๒๕๔๙ จำเลยจึงมิได้เป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงมิใช่นิติบุคคลเอกชน แต่เป็นนิติบุคคลมหาชนที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗

    กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ นั้น มาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน บัญญัติให้เป็น “หน่วยงานของรัฐ” และมีวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๑๑ และกองทุนหมู่บ้านที่จัดตั้งขึ้นตามมาตรา ๕ จึงเป็น “หน่วยงานของรัฐ” ที่มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐประเภทหนึ่ง ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อจัดทำภารกิจของรัฐในการสร้างศักยภาพและความเข็มแข็งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนและองค์กรชุมชนในหมู่บ้านและชุมชนเมือง กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ โดยไม่ได้มุ่งหวังผลกำไรตอบแทน "
  • เงินกองทุนมีหลายประเภท: เงินรัฐจัดสรร, เงินอุดหนุน, เงินสมาชิก, เงินบริจาค

    ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า"โดยเงินทุนและทรัพย์สินในการดำเนินการส่วนหนึ่งเป็นเงินอุดหนุนจากงบประมาณของรัฐ ซึ่งเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน หรือแม้จะมีเงินบริจาคเข้ามาด้วย เงินบริจาคดังกล่าว มาตรา ๑๒ ของพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชวติ พ.ศ.๒๕๔๗ ก็บัญญัติว่าต้องไม่มีเงื่อนไขหรือข้อผูกพัน เนื่องจากเป็นการบริจาคเพื่อมาช่วยเหลือการจัดทำบริการสาธารณะของรัฐ หรือแม้จะมีทรัพย์สินในส่วนที่เป็นรายได้ เช่นดอกผลหรือผลประโยชน์อย่างอื่น แต่เมื่อตัวกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเป็นหน่วยงานของรัฐ ทรัพย์สินที่เป็นรายได้ของกองทุนย่อมเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน นอกจากนี้ การที่ มาตรา ๑๔ บัญญัติว่า “กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ" ก็เพียงเพื่อไม่ให้ต้องนำรายได้ส่งกระทรวงการคลังและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ทั้งนี้ก็เห็นความคลองตัวทางการเงินอันเป็นการยกเว้นหลักทั่วไปตาม มาตรา ๒๔ วรรคหนึ่ง แห่งวิธีการงบประมาณ พ.ศ.๒๕๐๒ ที่บัญญัติว่า “บรรดาเงินที่ส่วนราชการได้รับเป็นกรรมสิทธิ์ไม่ว่าจะได้รับตามกฎหมายหรือระเบียบ ข้อบังคับ หรือได้รับชำระตามอำนาจหน้าที่หรือสัญญา หรือได้รับจากการใช้ทรัพย์สินหรือเก็บดอกผลจากทรัพย์สินของทางราช ให้ส่วนราชการที่ได้รับเงินนั้น นำส่งคลังตามระเบียบหรือข้อบังคับที่รัฐมนตรีกำหนด เว้นแต่จะมีกฎหมายกำหนดเป็นอย่างอื่น" ดังนั้นเงินฝากในบัญชีเงินฝากกับผู้คัดค้าน เลขที่ ๐๕๐๖๗๐๙๔๔๕๗๗ จำนวน ๙๙,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นเงินที่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติจัดสรรให้จำเลยเสียเพื่อเป็นเงินอุดหนุนจึงเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินที่ไม่อาจยึดหรืออายัดได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๗ และไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา ๓๐๑ (๕) ส่วนเงินฝากในบัญชีเงินฝากเลขที่ ๐๕๐๖๗๐๗๔๖๓๔๑ จำนวน ๑๙๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นเงินที่สมาชิกของจำเลยนำมาลงหุ้นและฝากเพื่อการออมก็เป็นเงินฝากของสมาชิกที่นำมาฝากตามวัตถุประสงค์ของการจัดกองทุนหมู่บ้านเพื่อสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนและองค์กรชุมชน ในหมู่บ้านตามหมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๗ อันเป็นการจัดทำบริการสาธารณะของรัฐ โดยยจำเลยมิได้มีเจตนารมณ์ในการรับฝากเงินเพื่อหากำไรในทางธุรกิจหรือพาณิชย์กรรม เงินจำนวนดังกล่าวที่ฝากไว้กับธนาคารผู้คัดค้านในบัญชีของจำเลย จึงเป็นเงินของสมาชิก มิไม่เงินของจำเลยที่จะยึดหรืออายัดเพื่อบังคับคดีชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองได้ตามประประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐๓ และมาตรา ๓๑๖ "

  • ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัว: มีไว้ช่วยเหลือประชาชน ไม่ใช่ของกรรมการหรือสมาชิก
  • เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิ์ยึด: เงินกองทุนไม่ใช่เงินของจำเลยที่เป็นหนี้

ดังนั้น หากใครที่กำลังสงสัยว่าเจ้าหนี้จะสามารถมายึดเงินกองทุนหมู่บ้านได้หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ได้ เพราะเงินเหล่านี้ไม่ใช่เงินส่วนตัวของลูกหนี้ แต่เป็นเงินของส่วนรวมที่ต้องใช้เพื่อประโยชน์ของคนในหมู่บ้าน

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกองทุนหมู่บ้านได้มากขึ้นนะครับ

คำสำคัญ: กองทุนหมู่บ้าน, เงินอุดหนุน, ทรัพย์สินของแผ่นดิน, การบังคับคดี, เจ้าหนี้, ลูกหนี้

Posted on

อำนาจฟ้องคดีของกองทุนหมู่บ้าน

เนื่องจาก จำเลยซึ่งเป็นประธานกองทุนหมู่บ้านโคกเจริญ ตำบลบ้านโคก กิ่งอำเภอหนองนาคำ จังหวัดขอนแก่น เบิกเงินจัดสรรผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานกองทุนหมู่บ้านประจำปี 2544, 2545 และ 2546 จำนวน 152,434 บาท ของกองทุนหมู่บ้านโคกเจริญ ผู้เสียหาย ไว้ในความครอบครองของจำเลย แล้วจำเลยเบียดบังยักยอกเอาเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้สอยเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต เหตุเกิดที่ตำบลบ้านโคก กิ่งอำเภอหนองนาคำ จังหวัดขอนแก่น

กองทุนหมู่บ้านโคกเจริญโดยคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลย

ต่อมาวันที่ 25 พฤษภาคม 2547 จำเลยเข้าพบพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยและสอบสวนแล้ว ระหว่างสอบสวนจำเลยไม่ถูกจับกุมหรือถูกควบคุมตัว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 152,434 บาท แก่ผู้เสียหาย

พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นประธานกองทุนหมู่บ้านโคกเจริญเบิกเงินจัดสรรผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานกองทุนหมู่บ้านประจำปี 2544, 2545 และ 2546 จำนวน 152,434 บาท ของกองทุนหมู่บ้านโคกเจริญผู้เสียหาย ไว้ในความครอบครองของจำเลย แล้วจำเลยเบียดบังยักยอกเอาเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้สอยเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต เหตุเกิดที่ตำบลบ้านโคก กิ่งอำเภอหนองนาคำ จังหวัดขอนแก่น ต่อมาวันที่ 25 พฤษภาคม 2547 จำเลยเข้าพบพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยและสอบสวนแล้ว ระหว่างสอบสวนจำเลยไม่ถูกจับกุมหรือถูกควบคุมตัว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 152,434 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้ววินิจฉัยว่า กองทุนหมู่บ้านโคกเจริญไม่มีสภาพเป็นบุคคล ไม่อาจเป็นผู้เสียหายที่จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้ พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวน โจทก์นำคดีมาฟ้องเกิน 48 ชั่วโมง นับแต่วันที่จำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนและมีการแจ้งข้อหาอันถือว่าจำเลยถูกจับโดยไม่มีการผัดฟ้องและไม่ได้รับอนุญาตจากอัยการสูงสุด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า กองทุนหมู่บ้านโคกเจริญไม่อาจเป็นผู้เสียหายที่จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้ พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่า กองทุนหมู่บ้านโคกเจริญเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์ได้ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ยังไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ว่ากองทุนหมู่บ้านโคกเจริญเป็นผู้เสียหายหรือไม่ จึงเป็นการไม่ชอบ และศาลฎีกาเห็นสมควรที่จะวินิจฉัยไปเสียทีเดียวว่า กองทุนหมู่บ้านโคกเจริญเป็นผู้เสียหายหรือไม่ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยปัญหาดังกล่าว เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามฟ้องว่า กองทุนหมู่บ้านโคกเจริญจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สมาชิกของกองทุนกู้เพื่อนำเงินไปลงทุน โดยดำเนินการในรูปของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านซึ่งสมาชิกของกองทุนหมู่บ้านเป็นผู้เลือกตั้ง ดังนั้น กองทุนหมู่บ้านโคกเจริญจะเป็นนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดาหรือไม่ก็ตาม แต่เงินจัดสรรผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านประจำปี 2544, 2545 และ 2546 เป็นเงินที่ได้มาจากการดำเนินงานกองทุนหมู่บ้าน การที่จำเลยยักยอกเงินจัดสรรผลกำไรสุทธิดังกล่าวไป กองทุนหมู่บ้านโคกเจริญโดยคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านซึ่งเป็นสมาชิกกองทุนหมู่บ้านจึงเป็นผู้เสียหายในอันที่จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยได้โดยถือว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ของกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสมาชิกและจำเลย การร้องทุกข์ของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านโคกเจริญจึงเป็นการร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

มีประเด็นในฎีกาของจำเลยที่ศาลฏีกาต้องวินิจฉัย

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า การที่จำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนและมีการแจ้งข้อหาแก่จำเลยแล้ว ถือว่าเป็นการจับจำเลยหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 237 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นบัญญัติว่า ในคดีอาญา การจับและคุมขังบุคคลใดจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาล หรือผู้นั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้า หรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่น ให้จับได้โดยไม่มีหมายตามที่กฎหมายบัญญัติ โดยผู้ถูกจับจะต้องได้รับการแจ้งข้อกล่าวหาและรายละเอียดแห่งการจับ โดยไม่ชักช้า และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่จำเลยเข้าพบพนักงานสอบสวนประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 บัญญัติว่า พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับนั้นไม่ได้ เว้นแต่กรณีต่อไปนี้ (1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้าดั่งบัญญัติไว้ในมาตรา 80 (2) เมื่อพบบุคคลนั้นกำลังพยายามกระทำความผิดหรือพบโดยมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่าผู้นั้นกระทำความผิดโดยมีเครื่องมือ อาวุธหรือวัตถุอย่างอื่นอันสามารถอาจใช้ในการกระทำความผิด (3) เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้นั้นได้กระทำความผิดมาแล้วจะหลบหนี (4) เมื่อมีผู้ขอให้จับโดยแจ้งว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิด และแจ้งด้วยว่าได้ร้องทุกข์ไว้ตามระเบียบแล้ว… ดังนั้น การจับกุมบุคคลใดจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือผู้นั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้า หรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่นให้จับได้โดยไม่มีหมายจับ ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 237 ดังกล่าว การที่จำเลยถูกเรียก หรือส่งตัวมาหรือเข้าหาพนักงานสอบสวนเองหรือมาอยู่ต่อหน้าเจ้าพนักงานเป็นผู้ต้องหาและมีการแจ้งข้อหาให้ทราบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่จำเลยเข้าพบพนักงานสอบสวน ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 จึงยังถือไม่ได้ว่า จำเลยถูกจับเพราะยังไม่มีคำสั่งหรือหมายของศาล และไม่เข้าข้อยกเว้นตามบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อจำเลยยังไม่ถูกจับ จึงไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 7 และมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ที่โจทก์ต้องฟ้องจำเลยภายในกำหนดเวลาสี่สิบแปดชั่วโมงนับแต่เวลาที่จำเลยถูกจับ หรือต้องผัดฟ้อง หรือได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีจากอัยการสูงสุด โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า

การที่จำเลยยักยอกเงินจัดสรรผลกำไรสุทธิที่ได้มาจากการดำเนินงานกองทุนหมู่บ้าน กองทุนหมู่บ้าน ค. โดยคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งเป็นสมาชิกกองทุนหมู่บ้านจึงเป็นผู้เสียหายในอันที่จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยได้ โดยถือว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ของกองทุนหมู่บ้าน ค. ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสมาชิกและจำเลย การร้องทุกข์ของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านจึงเป็นการร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6600/2549 ระหว่าง พนักงานอัยการคดีศาลแขวงขอนแก่น โจทก์ กับ จำเลย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4)