Posted on

ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฏหมายกำหนด

กองทุนหมู่บ้านทั่วประเทศ ส่วนใหญ่จะกำหนดอัตราค่าปรับไว้ในระเบียบกองทุนหมู่บ้านของตนเอง และสัญญากู้เงิน ค้ำประกัน ส่วนใหญ่ ก็จะใช้ แบบฟอร์มสัญญาเงินกู้ และสัญญาค้ำประกัน ที่มีต้นแบบจาก สทบ.

เมื่อกองทุนหมู่บ้านนำไปฟ้องคดี ผู้กู้และผู้ค้ำประกัน จำเลยมักจะต่อสู้ว่า ” แม้โจทก์จะเป็นนิติบุคคลจัดตั้งขึ้นโดยถูกต้องตามกฎหมายก็มิได้หมายความว่า โจทก์จะเรียกเอาเงินที่ค้างชำระ และคิดเบี้ยปรับได้ตามอำเภอใจ เพราะการจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านก็เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชน มิใช่เป็นการแสวงหาผลประโยชน์ การที่นำเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ ๕๐ ( ห้าสิบสตางค์ ) มาคิดเรียกร้องเอากับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นการนำองค์การมาหาผลประโยชน์ที่เกินกว่าความเป็นจริง และจำเลยที่ ๑ ก็ไม่เคยตกลงให้โจทก์คิดเบี้ยปรับร้อยละ .๕ ( ห้าสิบสตางค์ ) ตามที่โจทก์กล่าวอ้างโจทกจึงจะนำมาคิดเป็นจำนวนเงินที่จำเลยที่ ๑ ค้างชำระทั้งหมดไม่ได้ คงคิดได้เพียงจำนวนเงินที่หักจากการชำระหนี้แล้ว พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๘ ต่อปี เท่านั้น จำเลยที่ ๑ ไม่จำต้องรับผิดชอบตามฟ้องของโจทก์ องโจทก์เป็นการฟ้องโดยอาศัยความไม่ชอบด้วยกฎหมายมาดำเนินคดีกับประชาชน เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและต่อสังคมโดยรวม ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้องโจทก์เสีย ”

มีคำถามว่า การเรียกค่าปรับ ในอัตราสูง ดังกล่าว เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ???

เป็นการเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นความผิดคดีอาญา มีโทษจำคุก กองทุนหมู่บ้านผิดกฎหมายหรือไม่ ????

การกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 654 วางหลักไว้ว่า ห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๔ บุคคลใดให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินหรือกระทำการใด ๆ อันมีลักษณะเป็นการอำพรางการให้กู้ยืมเงิน โดยมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(๑) เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้
(๒) กำหนดข้อความอันเป็นเท็จในเรื่องจำนวนเงินกู้หรือเรื่องอื่น ๆ ไว้ในหลักฐานการกู้ยืมหรือตราสารที่เปลี่ยนมือได้เพื่อปิดบังการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด หรือ
(๓) กำหนดจะเอาหรือรับเอาซึ่งประโยชน์อย่างอื่นนอกจากดอกเบี้ย ไม่ว่าจะเป็นเงิน หรือสิ่งของหรือโดยวิธีการใด ๆ จนเห็นได้ชัดว่าประโยชน์ที่ได้รับนั้นมากเกินส่วนอันสมควรตามเงื่อนไขแห่งการกู้ยืมเงิน
ข้อมูลจาก : ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654, พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4

เรื่องนี้มีคำตอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๒๓๖/๒๕๕๑ คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านควนเมา โจทก์
นายย้อย นาคทอง จำเลย
ป.พ.พ. มาตรา ๓๗๙,๖๕๔
พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.๒๔๗๕ มาตรา ๓ (เดิม)

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๔๖ จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ ๑๕,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๒ ต่อปี กำหนดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเสร็จสิ้นภายในวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๔๗ จำเลยยอมรับผิดทั้งค่าติดตามทวงถามก่อนดำเนินคดีและเบี้ยปรับอัตราร้อยละ ๐,๕๐ ต่อวัน จากต้นเงินที่ผิดนัด จำเลยผิดนัดไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามกำหนด โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย จำเลยต้องรับผิดชำระต้นเงินจำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๒ ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๑ ปี ๒๒๐ วัน คิดเป็นดอกเบี้ยจำนวน ๒,๘๘๔ บาท ค่าติดตามถวงถามเป็นเงิน ๑,๐๐๐ บาท และค่าเบี้ยปรับจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๘,๘๘๔ บาท ขอให้บังดับจำเลยชำระเงินจำนวน ๒๘,๘๘๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๒ ต่อปี จากต้นเงินจำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้กู้เงินจากโจทก์จริง แต่โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องในส่วนค่าทวงถามจำนวน ๑,๐๐๐ บาท และเบี้ยปรับ
จำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท เพราะโจทก์ไม่เคยทวงถามมาก่อน และในส่วนเบี้ยปรับวันละ ๑๐๐ บาท ก็มิได้กำหนดไว้ในสัญญากู้ หากจะ
เรียกเป็นดอกเบี้ยผิดนัดเพิ่มขึ้นอีกในอัตราร้อยละ ๐,๕๐ ต่อวันก็เป็นการเรียกร้องดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดตกเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๒ ต่อปี จากต้นเงิน ๑๕,๐๐๐
บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๗) เป็นต้นไป จนกว่าชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤซาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๘๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อตาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า แม้ตาลชั้นต้นมิได้สั่งอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา แต่
การที่โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาของจำเลยแล้วไม่คัดด้านและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำนวนไปยังศาลฎีกา พอแปลได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ วรรดหนึ่ง แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๔๖ จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์จำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๒ ต่อปี กำหนดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยภายในวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๔๗ หากจำเลยผิดสัญญายอมให้โจทก์คิดค่าติดตามทวงถามก่อนดำเนินคดีและดอกเบี้ยผิดนัดเพิ่มอีกในอัตราร้อยละ ๐,๕๐ ต่อวัน ของยอดเงินกู้ที่ค้างชำระจนกว่าจะชำระหมดสิ้น ตามสัญญากู้เงินกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองเอกสารหมาย จ.๒ และจำเลยผิดนัดไม่ชำระดันเงินและดอกเบี้ยตามกำหนด
มีปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อแรกว่า ที่ตาลชั้นตันพิพากษาให้จำเลยชำระเบี้ยปรับจำนวน ๕,๐๐๐ บาท เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า ในสัญญากู้เงินมิได้ระบุเกี่ยวกับเบี้ยปรับไว้ การที่ศาลชั้นตันพิพากษาให้จำเลยชำระเบี้ยปรับจำนวน ๕,๐๐๐ บาท เป็นการนอกเหนือข้อสัญญาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ตามสัญญากู้เงินกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองเอกสารหมาย จ.๒ ข้อ ๔ ระบุว่า “ถ้าผู้กู้ผิดนัดไม่ชำระเงินกู้และดอกเบี้ยตามงวดชำระภายในกำหนด……วัน นับแต่วันครบกำหนดงวดชำระ ผู้กู้ยินยอมให้คิดดอกเบี้ยผิดนัดเพิ่มอีกในอัตราร้อยละ ๐,๕๐ ต่อวัน ของยอดเงินกู้ที่ค้างชำระจนกว่าจะชำระหมดสิ้น” ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยยินยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ ๐.๕๐ ต่อวัน สูงขึ้นกว่าอัตราที่ตกลงกันไว้ในสัญญาได้หากจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องตามสัญญา จึงมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งหากศาลเห็นว่าเบี้ยปรับที่กำหนดไว้นั้นสูงเกินส่วนก็มีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๙ และมาตรา ๓๘๓ วรรดหนึ่ง การที่ตาลชั้นตันพิพากษาให้จำเลยชำระเบี้ยปรับแก่โจทก์จึงหาได้เป็นการนอกเหนือจากข้อสัญญาไม่ ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ข้อสัญญาที่กำหนดให้โจทก็คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๐,๕๐ ต่อวัน หรือร้อยละ ๑๕ ต่อเดือน หรือร้อยละ ๑๘๐ ต่อปี เกินกว่าอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี เป็นการต้องห้ามตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.๒๕๔๗ ตกเป็นโมฆะนั้น เห็นว่า ตามสัญญากู้เงินกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองเอกสารหมาย จ.๒ ข้อ ๒ ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ในอัตราร้อยละ ๑๒ ต่อปี ซึ่งไม่เกินกว่าอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๔ และพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.๒๔๗๕ มาตรา ๓ ส่วนข้อสัญญาที่กำหนดให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๐,๕๐ ต่อวัน ตามสัญญาข้อ ๔ เป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าในกรณีที่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องตามสัญญา มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับหาใช่เป็นข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยไม่ ข้อสัญญาดังกล่าวมิใช่เป็นข้อสัญญาที่ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี จึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๔ และพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.๒๔๗๕ มาตรา ๓ ไม่ตกเป็นโมฆะดังที่จำเลยกล่าวอ้าง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเบี้ยปรับแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

อ้างอิง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๒๓๖/๒๕๕๑


Posted on

อำนาจฟ้องคดีของกองทุนหมู่บ้าน

เนื่องจาก จำเลยซึ่งเป็นประธานกองทุนหมู่บ้านโคกเจริญ ตำบลบ้านโคก กิ่งอำเภอหนองนาคำ จังหวัดขอนแก่น เบิกเงินจัดสรรผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานกองทุนหมู่บ้านประจำปี 2544, 2545 และ 2546 จำนวน 152,434 บาท ของกองทุนหมู่บ้านโคกเจริญ ผู้เสียหาย ไว้ในความครอบครองของจำเลย แล้วจำเลยเบียดบังยักยอกเอาเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้สอยเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต เหตุเกิดที่ตำบลบ้านโคก กิ่งอำเภอหนองนาคำ จังหวัดขอนแก่น

กองทุนหมู่บ้านโคกเจริญโดยคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลย

ต่อมาวันที่ 25 พฤษภาคม 2547 จำเลยเข้าพบพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยและสอบสวนแล้ว ระหว่างสอบสวนจำเลยไม่ถูกจับกุมหรือถูกควบคุมตัว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 152,434 บาท แก่ผู้เสียหาย

พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นประธานกองทุนหมู่บ้านโคกเจริญเบิกเงินจัดสรรผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานกองทุนหมู่บ้านประจำปี 2544, 2545 และ 2546 จำนวน 152,434 บาท ของกองทุนหมู่บ้านโคกเจริญผู้เสียหาย ไว้ในความครอบครองของจำเลย แล้วจำเลยเบียดบังยักยอกเอาเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้สอยเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต เหตุเกิดที่ตำบลบ้านโคก กิ่งอำเภอหนองนาคำ จังหวัดขอนแก่น ต่อมาวันที่ 25 พฤษภาคม 2547 จำเลยเข้าพบพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยและสอบสวนแล้ว ระหว่างสอบสวนจำเลยไม่ถูกจับกุมหรือถูกควบคุมตัว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 152,434 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้ววินิจฉัยว่า กองทุนหมู่บ้านโคกเจริญไม่มีสภาพเป็นบุคคล ไม่อาจเป็นผู้เสียหายที่จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้ พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวน โจทก์นำคดีมาฟ้องเกิน 48 ชั่วโมง นับแต่วันที่จำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนและมีการแจ้งข้อหาอันถือว่าจำเลยถูกจับโดยไม่มีการผัดฟ้องและไม่ได้รับอนุญาตจากอัยการสูงสุด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า กองทุนหมู่บ้านโคกเจริญไม่อาจเป็นผู้เสียหายที่จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้ พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่า กองทุนหมู่บ้านโคกเจริญเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์ได้ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ยังไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ว่ากองทุนหมู่บ้านโคกเจริญเป็นผู้เสียหายหรือไม่ จึงเป็นการไม่ชอบ และศาลฎีกาเห็นสมควรที่จะวินิจฉัยไปเสียทีเดียวว่า กองทุนหมู่บ้านโคกเจริญเป็นผู้เสียหายหรือไม่ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยปัญหาดังกล่าว เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามฟ้องว่า กองทุนหมู่บ้านโคกเจริญจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สมาชิกของกองทุนกู้เพื่อนำเงินไปลงทุน โดยดำเนินการในรูปของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านซึ่งสมาชิกของกองทุนหมู่บ้านเป็นผู้เลือกตั้ง ดังนั้น กองทุนหมู่บ้านโคกเจริญจะเป็นนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดาหรือไม่ก็ตาม แต่เงินจัดสรรผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านประจำปี 2544, 2545 และ 2546 เป็นเงินที่ได้มาจากการดำเนินงานกองทุนหมู่บ้าน การที่จำเลยยักยอกเงินจัดสรรผลกำไรสุทธิดังกล่าวไป กองทุนหมู่บ้านโคกเจริญโดยคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านซึ่งเป็นสมาชิกกองทุนหมู่บ้านจึงเป็นผู้เสียหายในอันที่จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยได้โดยถือว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ของกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสมาชิกและจำเลย การร้องทุกข์ของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านโคกเจริญจึงเป็นการร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

มีประเด็นในฎีกาของจำเลยที่ศาลฏีกาต้องวินิจฉัย

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า การที่จำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนและมีการแจ้งข้อหาแก่จำเลยแล้ว ถือว่าเป็นการจับจำเลยหรือไม่ เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 237 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นบัญญัติว่า ในคดีอาญา การจับและคุมขังบุคคลใดจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาล หรือผู้นั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้า หรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่น ให้จับได้โดยไม่มีหมายตามที่กฎหมายบัญญัติ โดยผู้ถูกจับจะต้องได้รับการแจ้งข้อกล่าวหาและรายละเอียดแห่งการจับ โดยไม่ชักช้า และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่จำเลยเข้าพบพนักงานสอบสวนประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 บัญญัติว่า พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับนั้นไม่ได้ เว้นแต่กรณีต่อไปนี้ (1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้าดั่งบัญญัติไว้ในมาตรา 80 (2) เมื่อพบบุคคลนั้นกำลังพยายามกระทำความผิดหรือพบโดยมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่าผู้นั้นกระทำความผิดโดยมีเครื่องมือ อาวุธหรือวัตถุอย่างอื่นอันสามารถอาจใช้ในการกระทำความผิด (3) เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้นั้นได้กระทำความผิดมาแล้วจะหลบหนี (4) เมื่อมีผู้ขอให้จับโดยแจ้งว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิด และแจ้งด้วยว่าได้ร้องทุกข์ไว้ตามระเบียบแล้ว… ดังนั้น การจับกุมบุคคลใดจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือผู้นั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้า หรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่นให้จับได้โดยไม่มีหมายจับ ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 237 ดังกล่าว การที่จำเลยถูกเรียก หรือส่งตัวมาหรือเข้าหาพนักงานสอบสวนเองหรือมาอยู่ต่อหน้าเจ้าพนักงานเป็นผู้ต้องหาและมีการแจ้งข้อหาให้ทราบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่จำเลยเข้าพบพนักงานสอบสวน ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 จึงยังถือไม่ได้ว่า จำเลยถูกจับเพราะยังไม่มีคำสั่งหรือหมายของศาล และไม่เข้าข้อยกเว้นตามบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อจำเลยยังไม่ถูกจับ จึงไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 7 และมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ที่โจทก์ต้องฟ้องจำเลยภายในกำหนดเวลาสี่สิบแปดชั่วโมงนับแต่เวลาที่จำเลยถูกจับ หรือต้องผัดฟ้อง หรือได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีจากอัยการสูงสุด โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า

การที่จำเลยยักยอกเงินจัดสรรผลกำไรสุทธิที่ได้มาจากการดำเนินงานกองทุนหมู่บ้าน กองทุนหมู่บ้าน ค. โดยคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งเป็นสมาชิกกองทุนหมู่บ้านจึงเป็นผู้เสียหายในอันที่จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยได้ โดยถือว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ของกองทุนหมู่บ้าน ค. ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสมาชิกและจำเลย การร้องทุกข์ของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านจึงเป็นการร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6600/2549 ระหว่าง พนักงานอัยการคดีศาลแขวงขอนแก่น โจทก์ กับ จำเลย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4)

Posted on

ถอดเสียงให้เป็นอักษร

จากการประชุมของคณะอนุกรรมการแก้หนี้นอกระบบชุดเล็ก ผู้จัดทำเห็นว่ามีประโยชน์อย่างสูง สำหรับผู้ที่สนใจ คณะอนุกรรมการ ถ่ายทอดจากประสบการณ์การทำงานกองทุนหมู่บ้านมานาน 21 ปี กลั่นออกมาเป็นบทเรียนให้ท่านนำไปศึกษาและทดลองปฏิบ้ติ สำหรับ เป็นแนวทาง การพัฒนาศักยภาพของกองทุนหมู่บ้านทั่วประเทศ

กองทุนหมู่บ้าน จากภาพ เป็นองค์กรดำเนินกิจการบริการสาธารณะแทนรัฐ ทำหน้าที่เหมือนไมโครไฟแนนซ์ แก้ปัญหาความยากจน เน้นพื้นที่ในชนบทหรือชุมชนที่ประชาชนเข้าไม่ถึงเงินเป็นระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นหรือเศรษฐกิจฐานราก เน้นเรื่องการพึ่งพาตนเองเน้นช่วยเหลือประชาชนรากหญ้า เน้นช่วยเหลือผู้ประกอบการ เน้นช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็ก เน้นในเรื่องการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน แล้วก็เน้นในเรื่องของการกระจายอำนาจ รวมทั้งการพัฒนาชุมชนด้วย การจะแก้ปัญหาอย่างนี้ปัญหามันใหญ่มากนะครับ คือจำเป็นที่จะต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการที่จะแก้ปัญหาตรงนี้ คือ เรามีของดี คือ เครือข่ายกองทุนหมู่บ้าน เราก็วางโครงสร้างไว้ดีแล้วให้เครือข่ายเป็นสมาคมให้เครือข่าย เป็นนิติบุคคลเพื่อที่จะดำเนินการต่าง ๆ โดยชอบด้วยกฎหมายแต่ปรากฏว่า ไปผมก็ได้พยายามตั้งกับท่านวิฑูรย์ ครับก็ตั้งสมาคมขึ้นมาใหม่เจตนาก็คืออยากจะให้มาแทนที่สมาคมเครือข่ายแห่งประเทศไทย ที่มารับผิดชอบทำหน้าที่ตามเจตนารมย์ของพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ..2547 ตรงนี้ อันนี้ท่านวิฑูรย์กับเราก็ตั้งความหวังแล้วผมว่ายังหวังจะให้มันเป็นอยู่อย่างนี้อีกตลอดไป

Posted on

รายการ ช่วยกันคุย ชวนกันคิด EP : 1

การประชุมนอกรอบ(ออนไลน์) แก้หนี้นอกระบบ

11 เม.ย.2566

จากการเปิดเผยของ

นายณัฏฐนันท์ สุรภาอรรถวิชญ์

ประธานสถาบันการเงินชุมชนหาดเจ้าสำราญนอก

ได้เชิญคณะทำงานและแขกรับเชิญเข้าร่วมประชุมนอกรอบแบบออนไลน์หัวข้อดังนี้

1.ขอบเขตของปัญหาหนี้นอกระบบ

2.กลุ่มคนที่เปาะบางที่สุดที่ได้รับผล กระทบจากปัญหานี้

3.แนวทางแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ

รายละเอียดการประชุมมีวิดิโอให้รับชม

การบรรยายโดย นายณัฏฐนันท์ สุรภาอรรถวิชญ์ ประธานสถาบันการเงินชุมชนหาดเจ้าสำราญนอก เรื่องการช่วยเหลือสมาชิกในการปลดหนี้นอกระบบ โดยบรรยายเน้นไปที่สถาบันการเงินชุมชนหาดเจ้าสำราญนอก เป็นต้นแบบ ซึ่งช่วยให้สมาชิกออมเงินเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหนี้ซ้ำซ้อน สถาบันประสบความสำเร็จและเติบโตมากว่า 9 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้ง โดยมุ่งเน้นการสร้างวินัยทางการเงินและการออมให้กับสมาชิก นายณัฏฐนันท์ สุรภาอรรถวิชญ์ เสนอว่ากองทุนหมู่บ้านซึ่งมีทรัพยากรที่จำเป็นควรใช้โมเดลหาดเจ้าสำราญเพื่อช่วยให้สมาชิกสามารถออมเงินและชำระหนี้ได้ การบรรยายยังกล่าวถึงความสำคัญของการจัดการหนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาสินเชื่อธนาคารที่มีความเสี่ยง

Posted on

กองทุนหมู่บ้านเป็นโครงการลดความยากจน

ปัญหาความยากจนในประเทศไทย

ความยากจนเป็นปัญหาสำคัญในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบทซึ่งมีประชากรยากจนส่วนใหญ่ของประเทศอาศัยอยู่ เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนในประเทศไทย รัฐบาลและองค์กรต่าง ๆ ได้ดำเนินโครงการและนโยบายต่าง ๆ ที่มุ่งแก้ไขที่ต้นเหตุของความยากจนและพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ยากไร้

วิธีการแก้ไขปัญหาความยากจนในประเทศไทยมีดังนี้

                    โครงการสวัสดิการสังคม: รัฐบาลไทยได้ดำเนินโครงการสวัสดิการสังคมต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนคนยากจน รวมถึงโครงการโอนเงินสดและโครงการที่อยู่อาศัยต้นทุนต่ำ รัฐบาลยังได้แนะนำบริการด้านการศึกษาและการรักษาพยาบาลฟรีเพื่อให้แน่ใจว่าคนจนสามารถเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานได้

                    โครงการพัฒนาชุมชน: โครงการพัฒนาชุมชนมุ่งเสริมศักยภาพชุมชนโดยให้เข้าถึงการศึกษาและการฝึกอาชีพ ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและบริการพื้นฐาน และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น โครงการเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อแก้ไขต้นตอของความยากจน รวมถึงการขาดการศึกษา โอกาสในการทำงานที่จำกัด และโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอ

                    โครงการการเงินรายย่อย: โครงการการเงินรายย่อยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้สินเชื่อและบริการทางการเงินแก่คนยากจน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท โปรแกรมเหล่านี้ช่วยสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็ก เพิ่มรายได้ และลดการพึ่งพาเงินอุดหนุนจากรัฐบาล

                    โครงการพัฒนาการเกษตร: การเกษตรเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญสำหรับครัวเรือนในชนบทหลายแห่งในประเทศไทย โครงการพัฒนาการเกษตรมีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงการปฏิบัติทางการเกษตร เพิ่มผลผลิต และเพิ่มการเข้าถึงตลาดสำหรับเกษตรกรรายย่อย

                    การริเริ่มของภาคเอกชน: การริเริ่มของภาคเอกชน เช่น โครงการความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร มีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การลดความยากจนโดยการลงทุนในโครงการสวัสดิการสังคมและสนับสนุนการริเริ่มการพัฒนาชุมชน

                    โดยรวมแล้ว การแก้ไขปัญหาความยากจนในประเทศไทยต้องใช้แนวทางหลายด้านที่มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐาน เพิ่มศักยภาพชุมชน จัดหาการเข้าถึงสินเชื่อและบริการทางการเงิน และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ ด้วยความพยายามอย่างต่อเนื่องและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นไปได้ที่จะลดความยากจนในประเทศไทยและปรับปรุงชีวิตของคนจน

อ่านเพิ่มเติมจาก E Book ครับ

Posted on

โครงการตลาดประชารัฐ อำเภอปากเกร็ด ของดีวิถีนนท์

ข่าวกองทุนหมู่บ้าน

ตลาดประชารัฐ อำเภอปากเกร็ด ของดีวิถีนนท์

การประชุมคณะกรรมการโครงการฯ

 
จากการเปิดเผยผ่านเฟสบุ๊คเพจของ

ดร ภาสกร ฐิติธนาวนิช

เมื่อวันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2566 มีการประชุมคณะกรรมการโครงการ

“ตลาดประชารัฐ อำเภอปากเกร็ด ของดีวิถีนนท์” ครั้งแรก ภายหลังเข้ารับตำแหน่งใหม่ ดร ภาสกร ฐิติธนาวนิช  ได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า ที่ผ่านมา ปัญหา วิกฤตโรคระบาด โควิด 2019  ได้ทำให้ตลาดประชารัฐ อำเภอปากเก็ด ของดีวิถีนนท์ ประสพปัญา มาตลอด 3 ปี  เมื่อตนเองได้เข้ามาเป็นผู้บริหาร ก็จะเข้าดำเนินการแก้ไขวิกฤต  ภายหลังสถานการณ์วิกฤตจากโรกระบาดโควิด  2019  ผ่านพ้นไปแล้ว 
โดยมีการประชุมภายในบริเวณตลาดศรีปากเกร็ด(ตลาดผ้า)หรือตลาดต้นโพธิ์ คนปากเกร็ดเค้ารู้จักกันดี….
ที่ผ่านมาอาจเจอวิกฤตมากมาย แต่ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส ร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา ตั้งเป้าหมายและหาวิธีการที่ชัดเจนเพื่อกำหนดทิศทางในการบริหารงานหาทางรอดอย่างมั่นคงและยั่งยืน…..
#Move On#
#Mission Impossible #
Posted on

การส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากในประเทศไทยด้วยการจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพ”

Posted on

ประเทศไทย เลือกตั้ง 2566

ประเทศไทย เลือกตั้ง 2566

ครม.ประกาศยุบสภา ในวันที่ 20 มีนาคม 2566 วันถัดมา คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ได้ประกาศเคาะวันเลือกตั้ง เป็นวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 

สำหรับประชาชน ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง อาจต้องเริ่มเตรียมตัว โดยวันสำคัญที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง 2566 ดังนี้

ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้า และนอกราชอาณาจักร : 25 มี.ค. – 9 เม.ย. 66

การลงทะเบียนตั้งล่วงหน้า รวมถึงการลงทะเบียนตั้งนอกเขต ทำได้โดยการยื่นเรื่องที่สำนักงานเขต ที่ว่าการอำเภอ ช่องทางไปรษณีย์ หรือช่องทางออนไลน์

การลงทะเบียนเลือกตั้งจากต่างประเทศ สำหรับผู้ที่อยู่อาศัยอยู่ต่างประเทศ สามารถเลือกตั้งจากต่างประเทศ โดยการลงทะเบียนกับสถานทูตไทย หรือสถานกงสุลประจำประเทศนั้น

ยื่นได้ตั้งแต่จันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-16.30 น. (ในวันและเวลาราชการ) ส่วนทางไปรษณีย์จะถือวันประทับตราไปรษณีย์เป็นสำคัญ

สำหรับช่องทางออนไลน์

ช่องทางออนไลน์สามารถลงทะเบียนได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยระบบจะปิดอัตโนมัติในวันที่ 9 เมษายน 2566 เวลาเที่ยงคืนตามเวลาประเทศไทย

รับสมัคร ส.ส.แบบเขต วันที่ 3-7 เม.ย. 66

รับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 3-7 เมษายน 2566 ตั้งแต่เวลา 8.30 – 16.30 น. ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งกำหนด

รับสมัคร ส.ส.แบบปาร์ตี้ลิส

วันรับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และพรรคการเมืองเสนอชื่อบุคคลที่เห็นสมควร ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในนามพรรคการเมืองนั้นไว้ในบัญชี 3 รายชื่อ 4-7 เมษายน 2566 โดยวันที่ 4-6 เมษายน 2566 กำหนดเวลารับสมัคร ตั้งแต่เวลา 8.30-16.30 น. ส่วนวันที่ 7 เมษายน 2566 ตั้งแต่เวลา 8.30-16.00 น. ณ ห้องบางกอก อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร แขวงดินแดงเขตดินแดง กรุงเทพมหานคร

วันสุดท้ายเพิ่มชื่อ-ถอนชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 3 พ.ค. 66

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถตรวจสอบสิทธิ และหน่วยเลือกตั้งผ่านเอกสารที่กกต.จัดส่งไปยังเจ้าบ้าน (จะส่งมาถึงบ้านก่อนวันเลือกตั้ง 20 วัน) หรือช่องทางออนไลน์ของกกต. หากพบว่าตนเองหรือคนอื่นที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านของตน ไม่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หรือเจ้าบ้านเห็นว่ามีชื่อบุคคลอื่นอื่นอยู่ในทะเบียนบ้านของตนโดยที่บุคคลนั้นมิได้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านจริงๆ สามารถยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่น เพื่อให้เพิ่ม-ถอนชื่อนั้นได้

วันเลือกตั้งล่วงหน้า และวันเลือกตั้งสำหรับผู้พิการ-ผู้สูงอายุ 7 พ.ค. 66

สำหรับคนพิการ หรือผู้สูงอายุ สามารถลงทะเบียนไปใช้สิทธิที่หน่วยเลือกตั้งกลางสำหรับผู้พิการโดยเฉพาะ ตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น. และสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยให้ช่วยอำนวยความสะดวกได้ เช่น ขอบัตรทาบให้ผู้พิการทางสายตา โดยทั่วไปผู้พิการจะต้องออกเสียงด้วยตนเอง แต่หากลักษณะทางกายภาพไม่สามารถทำเครื่องหมายออกเสียงเลือกตั้งได้ สามารถให้บุคคลอื่น หรือเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยทำเครื่องหมายแทนได้ ถือว่าเป็นการลงคะแนนโดยตรง และลับตามกฎหมาย สำหรับผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าในเขต และนอกเขตเลือกตั้ง สามารถลงทะเบียนไปใช้สิทธิที่หน่วยเลือกตั้งกลางในเขต หรือนอกเขตเลือกตั้งตามที่ได้ลงทะเบียนไ้ว้ ตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น.

แจ้งเหตุไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง หน้า 7 หลัง 7 วันที่ 7-13 และ 15-21 พ.ค. 66

หากติดภารกิจไม่สามารถไปเลือกตั้งได้ สามารถทำหนังสือยื่นต่อนายทะเบียนที่ว่าการเขต หรืออำเภอ โดยสามารถไปด้วยตนเอง หรือ มอบหมายผู้อื่นไปแทน อีกทางเลือกคือ ส่งไปรษณีย์ หรือช่องทางออนไลน์ โดยต้องทำภายใน 7 วันก่อนการเลือกตั้ง หรือ 7 วันหลังการเลือกตั้ง จำง่ายๆ คือ “หน้า 7 หลัง 7”

ถ้าไม่แจ้งเหตุไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งภายในระยะเวลาดังกล่าว แม้จะไม่เสียสิทธิในการเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่อาจเสียสิทธิบางประการเป็นระยะเวลาสองปี นับจากวันเลือกตั้งที่ไม่ได้ไป ได้แก่

๐ สิทธิยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ๐ สิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง ๐ ลงสมัครรับเลือกเป็นกำนันและผู้ใหญ่บ้าน ๐ ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ๐ ดำรงตำแหน่งเกี่ยวกับการบริหารท้องถิ่น

วันเลือกตั้ง : 14 พ.ค. 66 08.00-17.00 น

วันเลือกตั้งทั่วไป คือวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เข้าคูหาได้ตั้งแต่ 08.00-17.00 น.

หมายเหตุ :

อย่าลืมพกบัตรประชาชน เป็นบัตรที่หมดอายุแล้วก็ยังสามารถใช้ได้ หรือเป็นบัตร,เอกสาร ที่ราชการออกให้ ขอแค่มีรูป และเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ก็ถือว่าใช้ได้ เช่น ใบขับขี่ ,พาสปอร์ต หรือ บัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์ (แอปพลิเคชัน ThaID)
Posted on

5 วิธีแก้หนี้นอกระบบในประเทศไทยอย่างได้ผลสำหรับสมาชิกกองทุนหมู่บ้าน

5 วิธีแก้หนี้นอกระบบอย่างได้ผล "คู่มือฉบับสมบูรณ์“ สำหรับสมาชิกกองทุนหมู่บ้าน

หนี้นอกระบบเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่หันไปหาผู้ให้กู้นอกระบบ ซึ่งดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน      เนื่องจากการเข้าถึงบริการทางการเงินในระบบที่จำกัด 

ข้อแนะนำ:

หนี้นอกระบบเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่หันไปหาผู้ให้กู้นอกระบบเนื่องจากการเข้าถึงบริการทางการเงินในระบบที่จำกัด แม้ประเทศไทยจะมีหน่วยงานที่ให้กู้ที่เป็นสหกรณ์ กองทุนหมู่บ้าน กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี กองทุนแม่แห่งแผ่นดิน ซึ่งจะเป็นองค์กรที่สมาชิกสามารถเข้าถึงเงินกู้ได้สะดวก แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ เนื่องจากเป็นองค์กรขนาดเล็ก มีข้อจำกัดในวงเงินที่ให้กู้ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่อาจเข้าถึงเงินกู้ดังกล่าวได้แม้ว่าการให้กู้ยืมนอกระบบจะช่วยให้เข้าถึงเงินสดได้รวดเร็วกว่า แต่ก็มักจะมาพร้อมกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินไปและเงื่อนไขที่ไม่เป็นระเบียบ ซึ่งอาจนำไปสู่วงจรของหนี้ที่ยากจะทำลายได้ ในบทความนี้ เราจะสำรวจห้าวิธีที่ได้ผลในการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบในประเทศไทย และช่วยให้บุคคลสามารถควบคุมความเป็นอยู่ทางการเงินของตนเองได้ ซึ่งก็รวมถึงสมาชิกกองทุนหมู่บ้านด้วย

เจรจากับผู้ให้กู้

ขั้นตอนแรกของการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบคือการเจรจากับผู้ให้กู้ ผู้ให้กู้นอกระบบจำนวนมากยินดีที่จะเจรจาเงื่อนไขการชำระคืนและอัตราดอกเบี้ยหากผู้กู้มีความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมาเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเงินของตน การติดต่อผู้ให้กู้และอธิบายความยากลำบากทางการเงินของคุณ คุณอาจสามารถเจรจาแผนการชำระหนี้ที่จัดการได้มากขึ้น วิธีนี้เหมาะสมกับเจ้าหนี้ที่ไม่โหด แต่วิธีมักใช้ไม่ได้ผลในประเทศไทย ซึ่งเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบส่วนใหญ่มักจะเอาเปรียบลูหกหนี้ และชอบใช้วิธีการที่โหดร้ายและใช้ความรุนแรง ทำร้ายร่างกายและทรัพย์สินของลูกหนี้

ขอความช่วยเหลือจากที่ปรึกษาสินเชื่อ

วิธีแก้หนี้นอกระบบที่ได้ผลอีกวิธีหนึ่งคือการขอความช่วยเหลือจากที่ปรึกษาสินเชื่อ บริการให้คำปรึกษาด้านสินเชื่อสามารถให้คำแนะนำในการจัดทำงบประมาณ การจัดการหนี้ และการเจรจาต่อรองกับผู้ให้กู้ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยคุณสร้างแผนการจัดการหนี้ที่จะช่วยให้คุณชำระหนี้และควบคุมการเงินของคุณได้ ซึ่งในประเทศไทยจะยังไม่มีบุคคลากรประเภทนี้ ซึ่งอาจจะหันไปปรึกษา คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค แต่ก็เป็นหน่วยงานที่ชาวบ้านมักเข้าไม่ถึง ที่เข้าถึงได้ง่ายหน่อย ก็จะเป็นศูนย์ดำรงธรรม แต่ก็ไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ เพราะขาดความต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหา

พิจารณาการรวมหนี้

การรวมหนี้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของบุคคลที่มีหนี้นอกระบบหลายก้อน การรวมหนี้เกี่ยวข้องกับการรวมหนี้ทั้งหมดของคุณเป็นเงินกู้เดียวที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าและเงื่อนไขการชำระคืนที่จัดการได้มากขึ้น วิธีนี้สามารถช่วยให้คุณชำระหนี้ได้เร็วขึ้นและลดจำนวนดอกเบี้ยทั้งหมดที่คุณจ่ายเมื่อเวลาผ่านไป

สำรวจบริการทางการเงินที่เป็นทางการ

วิธีหลีกเลี่ยงหนี้นอกระบบที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งคือการสำรวจบริการทางการเงินนอกระบบ สถาบันการเงินที่เป็นทางการหลายแห่ง เช่น ธนาคารและสหกรณ์ออมทรัพย์ กองทุนหมู่บ้าน สถาบันการเงินชุมชน กลุ่มออมทรัพย์ ที่เสนอเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าและมีเงื่อนไขที่ควบคุมมากขึ้น คุณสามารถหลีกเลี่ยงอัตราดอกเบี้ยที่สูงและข้อกำหนดที่ไม่เป็นระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการให้กู้ยืมนอกระบบได้โดยการกู้เงินนอกระบบ ซึ่งกองทุนหมู่บ้านจะต้องพัฒนาองค์กรให้เข้าถึงความต้องการขอสมาชิกได้อย่างทันท่วงที

เพิ่มรายได้ของคุณ

สุดท้าย วิธีแก้หนี้นอกระบบที่ได้ผลวิธีหนึ่งคือการเพิ่มรายได้ สิ่งนี้สามารถทำได้โดยการทำงานเพิ่มเติม เริ่มต้นธุรกิจเสริม หรือการศึกษาและการฝึกอบรมเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้ของคุณ การเพิ่มรายได้ทำให้คุณสามารถชำระหนี้ได้เร็วขึ้น โดยรัฐบาลควรสนับสนุนส่งเสริมให้กองทุนหมู่บ้านเป็นแหล่งพัฒนาศักยภาพของสมาชิก ให้มีความรู้ความสามารถในการเพิ่มรายได้ และหลีกเลี่ยงความจำเป็นในการกู้ยืมเงินนอกระบบในอนาคต

สรุป:

โดยสรุปแล้ว หนี้นอกระบบเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย แต่มีวิธีแก้ไขที่ได้ผลหลายวิธี โดยการเจรจากับผู้ให้กู้, ขอความช่วยเหลือจากที่ปรึกษาสินเชื่อ, พิจารณาการรวมหนี้, สำรวจบริการทางการเงินที่เป็นทางการ, และเพิ่มรายได้ของคุณ คุณสามารถควบคุมการเงินของคุณได้อีกครั้งและหลีกเลี่ยงวงจรหนี้ที่เกี่ยวข้องกับการให้กู้ยืมนอกระบบ หากคุณกำลังต่อสู้กับหนี้นอกระบบ เราขอแนะนำให้คุณดำเนินการเสียแต่วันนี้และสำรวจวิธีแก้ปัญหาเหล่านี้เพื่อฟื้นความเป็นอยู่ทางการเงินของคุณ และ หวังว่ากองทุนหมู่บ้านจะเป็นหน่วยงานที่เป็นหน่วยงานที่สามารถแห้ปัญหาทุนให้แก่สมาชิกได้
Posted on

การประชุมใหญ่สมาชิกกองทุนหมู่บ้านปากปู่ หมู่ 10

จากการเปิดเผยของเพจ Facebook ของ  ประธานพิสิทธิ์ ชัยวิริยะ ประธานเครือข่ายกองทุนหมู่บ้านตำบลสะเดียง ฯ   โดยแจ้งว่า วันที่23 มีนาคม 2566  คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านปากปู่ หมู่ 10 ได้จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ในวันนี้ ได้ชี้แจง เกี่ยวกับโครงการ โคล้านครอบครัว 

ตามมติคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการดำเนินงานโครงการโคล้านครอบครัว วงเงินงบประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง มีกำหนดระยะเวลา 4 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกกองทุนที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถกู้ยืมเงินทุนสำหรับเลี้ยงโค ครอบครัวละ 2 ตัว

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำว่า รัฐบาลพร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม มุ่งหวังให้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ ได้รับประโยชน์โดยตรง เตรียมลงพื้นที่เปิดโครงการฯ สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับสมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ ทั่วทุกภาคของประเทศไทย มุ่งหวังให้โครงการโคล้านครอบครัวเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและพัฒนาคุณภาพชีวิตของสมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ อย่างเป็นรูปธรรม มีแหล่งทุนหมุนเวียนสำหรับการกู้ยืมเพื่อการลงทุน สร้างงาน สร้างรายได้ บรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ที่เป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 สถานการณ์อุทกภัยและเสริมสภาพคล่องให้กับสมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ ผ่านการสนับสนุนการทำปศุสัตว์คือ การเลี้ยงโค

การเลี้ยงโค ทำได้ไม่ยาก สามารถคืนทุนได้เร็ว โดยประชาชนสามารถปลดหนี้ และยังมีเงินเพิ่มขึ้นในครัวเรือน ดังนั้นมั่นใจว่าโครงการนี้จะช่วยให้ประชาชนที่อยู่ในระดับฐานราก โดยเฉพาะภาคการเกษตรมีความเข้มแข็ง หลุดพ้นจากความยากจน เป็นโอกาสที่ประชาชนจะมีรายได้เสริมและอาจพัฒนาเป็นอาชีพหลักในอนาคตได้

รายงานข่าวโดย Tnglaw